วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

เมืองพระนคร มรดกโลกแห่งกัมพูชา

          

          เมืองพระนคร คือ หลักฐานชิ้นส้าคัญที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองของอาณาจักรขอมในอดีต ทั้งยังสะท้อนภูมิปัญญาอันชาญฉลาดทางสถาปัตยกรรมและประติมากรรมของบรรพชนขอมโบราณ จนได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์โลกยุคใหม่

ประวัติความเป็นมา
             ประวัติศาสตร์ของหมู่ปราสาทเมืองพระนครได้เริ่มต้นขึ้นหลังพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (ครองราชย์ ค.ศ. 802-835) ประกาศแยกแผ่นดินเป็นอิสระจากชวา และพระเจ้าชัยวรมันที่ 3ครองราชย์ ค.ศ.835-877) ผู้สืบบัลลังก์ต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างราชธานีขึ้นที่หริหราลัย(Hariharalaya) ตอนเหนือของโตนเลสาป(Tonle sap)
           เมื่อพระเจ้าอิทรวรมันที่ 1 (ครองราชย์ ค.ศ.877-889) ได้ขึ้นครองราชย์ ก็ทรงกระท้าตรีกรณียกิจส้าคัญ ไก้แก่ สร้างบาราย (Baray) ขนาดใหญ่ที่เมืองหริหราลัย สร้างเทวรูปสลักเป็นตัวแทนพระญาติประดิษฐานไว้ในปราสาทพระโค (Preah Ko) และสร้างปราสาทบากอง (Bakong) ขึ้นบนยอดเขา
           หลังจากนั้น พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 (ครองราชย์ ค.ศ.889-910) ผู้เป็นพระราชโอรสก็ได้มีพระราชด้าริให้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ยโสธรปุระ (Yasodharapura) หรือที่เรียกกันภายหลังว่า เมืองพระนครถือเป็นเป็นยุคที่มีการสร้างปราสาทร้อยแห่ง ปราสาทที่ส้าคัญ คือ ปราสาทพนมบางเค็ง (Phnom Bakheng)
           ครั้นพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 สิ้นพระชนม์กษัตริย์พระองค์ต่อๆมาได้สร้างนครแห่งใหม่ขึ้นที่เกาะแกร์ (Koh Ker) ก่อนที่พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 (ครองราชย์ ค.ศ.944-968) จะกลับมาบูรณะยโศธรปุระให้งดงามดังเดิม จนเมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (ครองราชย์ ค.ศ.968-1001) เป็นผู้พระราชโอรสขึ้นครองบัลลังก์ พราหมณ์ยัชญวราหะก็ได้สร้างปราสาทบันทายสรี (Banteay sri)ขึ้นมา 8
              ในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (ครองราชย์ ค.ศ.1010-1050)ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างปราสาทพระวิหารและปราสาทพิมายอากาศ (Phimeanakas) ก่อนที่พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 (ครองราชย์ ค.ศ.1050-1066) จะสร้างปราสาททบาปวน (Ba Puon) ในเวลาต่อมา เมื่อถึงรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (ครองราชย์ ค.ศ.1113-ราว ค.ศ.1150) นครวัดอันยิ่งใหญ่ก็ถือก้าเนิดขึ้นภายหลังเมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ขึ้นครองราชย์ ( ค.ศ.1181-1218)โปรดเกล้าฯให้ย้ายเมืองหลวงไปยังนครธมและสร้างปราสาทบายน รวมถึงปราตาพรหม (Ta Prohm)และปราสาทพระขรรค์(Preah Khan)ขึ้น

เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก
              เมืองพระนครได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2535 ซึ่งตั้งแต่ปีที่ลงทะเบียนเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2547 เมืองพระนครได้ถูกจัดให้เป็นแหล่งมรดกโลกที่ตกอยู่ในภาวะอันตราย
เมืองพระนครได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยมีเหตุผลดังนี้
              1. เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดท้าขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
              2. เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวนและภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
            3. เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว

            4. เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ปราสาทนครวัด

           นครวัด เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจ้าพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่ส้าคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จแต่เดิมนครวัดเป็นเทว สถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร
  

           ปราสาทนครวัด ได้เริ่มสร้างในกลางพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาแด่พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้บุกรุกขอม ท้าให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้นพระองค์จึงสร้างเมืองนครธม และ ปราสาทบายน ห่างจากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม
          ในปี ค.ศ. 1586 (พ.ศ. 2129) ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดสู่สายตาชาวโลกนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักส้ารวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา ที่จริงชาวกัมพูชาไม่เคยละทิ้งนครวัดไปเพราะหลังจากมีการย้ายเมืองหลวงมา อยู่ที่พนมเปญแล้ว ชาวบ้านก็ได้เขาไปตั้งรกรากภายในเขตนครวัดเรื่อยมา ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์ โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
           ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้้าล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงานเกนคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี   หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลง มา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาทนครวัด  


       ทางด้านกำแพงชั้นนอกรอบปราสาทนั้น มีความยาวกว่า 800 เมตร มีงานแกะสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่อง รามายณะ รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดก็คือรูปที่เทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระ สุเมรุ และยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรอีกถึง 1,635 นาง ที่ทั้งหมดแต่งกายและทรงผมไม่ซ้้ากันเลย

นครธม
           นครธม เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรกๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน และมีพื้นที่ส้าคัญอื่นๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ



           จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า 4 หน้า ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน เมื่อเข้าสู่ใจกลางนครธมจะพบสิ่งก่อสร้างต่างๆ บริเวณประตูด้านใต้นี้ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูไว้ได้ดีกว่าบริเวณอื่นๆ อีก 3 ด้าน

ปราสาทบายน
              ปราสาทบายน เป็นปราสาทหินของอาณาจักรเขมร อยู่ในบริเวณของใจกลางนครธม สร้างขึ้นเป็นวัดประจ้าสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก่อสร้างในราวปี พ.. 1724-.. 1763 หลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7ทรงได้ชัยชนะจากการขับไล่กองทัพอาณาจักรจามปา นับเป็นศาสนสถานที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความซับซ้อนทั้งในแง่โครงสร้างและความหมาย เนื่องจากผ่านความเปลี่ยนแปลงด้านศาสนาและความเชื่อมาตั้งแต่คราวนับถือเทพเจ้าฮินดู และพุทธศาสนา อาคารมีลักษณะพิเศษ เนื่องจากส่วนของหอเป็นรูปหน้าหันสี่ทิศ จ้านวน 49 หอ ปัจจุบันคงเหลือเพียง 37 หอ ลักษณะโดยทั่วไปจะมี 4 หน้า 4 ทิศ แต่บางหออาจมี 3 หรือ 2 แต่บริเวณศูนย์กลางของกลุ่มอาคาร จะมีประมาณ 200 กว่าหน้า


             ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของ บายน ก็เช่นเดียวกับเรื่องความเชื่อ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงมาในหลาย ๆ สมัย กษัตริย์ในยุคหลัง ๆ พบว่าเป็นการง่ายกว่าที่จะปรับปรุงวัดแห่งนี้ แทนที่จะรื้อสร้างใหม่เช่นที่ท้ากัน และใช้เป็นวัดประจ้าสมัยต่อเนื่องกันมา


            รอบปราสาทบายนที่เสียมเรียบจะ ปรากฏภาพโดยเฉพาะภาพแกะสลักอายุนับพันปีเหล่านั้น รอบปราสาทบายนจะเห็นภาพของการประดั่ญ เรียกเป็นภาษาไทยว่าภาพการต่อสู้ อยู่บนก้าแพงปราสาทบายนมวย มีมานานตั้งแต่สมัยขอมเรืองอ้านาจค้าว่ามวยเอง เป็น ภาษาขะแมร์ แปลว่าหนึ่ง ทั้งหมดนี้ไทยรับค้ามาจากขะแมร์เพราะอิทธิพลความรุ่งเรืองของขะแมร์ที่รับมา จากขอม มาจากค้าว่า "เนี๊ยะประดั่ญเลขมูย" อันมีความหมายว่านักสู้อันดับหนึ่ง และเรียกกันสั้น ๆ ว่า"เนี๊ยะมูย" และคนไทยน้ามาเรียกสั้น ๆ ว่า "นักมวย"

ปราสาทบาปวน
               ปราสาทบาปวน สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของปราสาทบายนภายในนครธม เป็นปราสาททรงพีระมิดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปรางค์ประธานมียอดเรียวแหลมคล้ายปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งเชื่อกันว่าท้าจากส้าริด แต่ปัจจุบันพังทลายลงหมดแล้ว


               ปราสาทบาปวนมีระเบียงคด 3 ชั้น ที่เชื่อมต่อกันตลอด มีโคปุระขนาดใหญ่สุดอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ทองค้า สัญลักษณ์แห่งพระศิวะ ทว่าได้สูญหายไปนานแล้ว นอกจากนี้ภายในปราสาทยังปรากฏภาพสลักแนวดิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ศิลปะแบบบาปวน

ปราสาทบันทายศรี
              ปราสาทบันทายศรี เป็นปราสาทหินที่ถือได้ว่างดงามที่สุดในประเทศกัมพูชา มีความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ และเป็นปราสาทแห่งเดียวที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 1000 ปี แต่ลวดลายก็ยังมีความคมชัด เหมือนกับสร้างเสร็จใหม่ ๆ


             ปราสาทบันทายศรีหรือเรียกตามสำเนียงเขมรว่า “บันเตียไสร” หมายถึง ปราสาทสตรีหรือป้อมสตรี อยู่ห่างจากตัวเมืองเสียมเรียบไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร ใกล้กับแม่น้ำเสียมเรียบในบริเวณที่เรียกว่า อิศวรปุระ หรือเมืองของพระอิศวร
           ปราสาทแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวรภายใต้พระนามว่า "ตรีภูวนมเหศวร" หรือ "ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสาม" ปราสาทมีขนาดเล็ก สร้างด้วยหินทรายสีชมพูซึ่งหายาก สร้างขึ้นเมื่อเดือนเมษายน - พฤษภาคม พ.. 1510 โดยพราหมณ์ยัชญวราหะ ในตอนปลายของสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 (หรือพระเจ้า ชัยวรมันที่ 4 .. 1487 - 1511) และเสร็จในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (.. 1511-1554)
1. ซุ้มประตูทางเข้า จ้าหลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณลวดลายมีความละเอียดสวยงามมาก
2. ซุ้มทางซ้ายมือ จ้าหลักภาพพระอิศวรทรงโค มีพระอุมาเทวีประทับด้านซ้าย
3. ซุ้มทางขวามือ มีรูปพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์ 16
           ผ่านประตูเข้าไปจะเห็นปราสาทองค์แรก สร้างอยู่เหนือฐานเดียวกันซึ่งสูง 90 เซนติเมตร ขนาบด้วยบรรณาลัย ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาตำราหรือวัตถุที่ใช้ในพิธีเคารพบูชา มีประตูเข้าทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ซุ้มประตูหรือโคปุระนี้ ประดิษฐานปฏิมากรรมด้วยลวดลายที่งามวิจิตรอ่อนช้อย ลวดลายประดับที่ปราสาทบันทายศรี สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง ไม่ว่าจะเป็นเทพธิดาหรือนางอัปสรา ก็เต็มไปด้วยความสง่างามและมีชีวิตจิตใจ
             ในกรอบซุ้มปราสาทองค์แรก มีรูปพระศิวะกำลังร่ายร้า หรือที่เรียกว่า ศิวนาฏราช ท่าร้าของพระองค์มีถึง 108 ท่า แต่ละท่ามีผลต่อฟ้าดิน หน้าบันของห้องสมุดทางด้านทิศใต้ สลักภาพพระอิศวรกำลังประทับนั่งอยู่เหนือเขาไกรลาศ

           ที่หน้าบันห้องสมุดทางด้านทิศเหนือ แสดงภาพพระอินทร์กำลัง บันดาลให้ฝนตกลงมา บนอาคารเดียวกันนี้ เหนือหน้าบันทางทิศตะวันตกแสดงภาพพระกฤษณะก้าลังประหารพระยากงศ์ในพระราชวัง ภาพสลัก ณ ปราสาทบันทายศรี นอกจากความงดงามในฝีมือการสลักแล้ว ยังมีคุณค่าเกี่ยวกับมนุษย์อย่างลึกซึ้ง อันเห็นได้จากความรู้สึกที่แสดงออกมาจากภาพเหล่านั้น ซึ่งเป็นพยานหลักฐานชิ้นแรก ที่ท้าให้เราทราบเกี่ยวกับชีวิตของชาวขอมในต้นพุทธศตวรรษที่ 16

กลุ่มปราสาทร่อลวย (Rolous)
            สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 นับเป็นกลุ่มปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดของอาณาจักรขอม ใช้วัสดุจ้าพวกอิฐและหินทรายเรียงต่อกันกันเป็นแถว จุดเด่นอยู่ที่ทับหลังซึ่งจ้าหลักเป็นลวดลายงดงามอ่อนช้อยโดยเฉพาะลายเครือเถา ซึ่งเป็นทักษะที่พัฒนามาจากงานแกะสลักไม้
         กลุ่มปราสาทร่อลวย ประกอบด้วย

         ปราสาทพระโค

         ปราสาทพระโค เป็นปรางค์ปราสาทจ้านวน 6 องค์ แถวหน้า 3 องค์ และแถวหลัง 3 องค์ ตัวปราสาทท้าจากอิฐ ส่วนกรอบประตูหน้าต่างท้าจากหินทราย สร้างบนฐานที่ท้าจากหินทราย เช่นเดียวกัน แต่ละปรางค์เป็นตัวแทนพระญาติของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1
           ตัวปราสาทประดับทับหลังศิลาทรายซึ่งมีกลิ่นอายศิลปะชวา ด้วยการแกะสลักนูนสูงเป็นรูปหน้ากาฬคาบพวงมาลัย รูปยักษ์ทวารบาล เทวดา และนางอัปสราในซุ้มเรือนแก้ว เชิงบันไดด้านนอกมีรูปสลักสิงห์คู่ ด้านหน้าเทวลัยมีรูปสลักโคนนทิ พาหนะของพระศิวะที่ท้าจากหินทราย นับเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของปราสาทแห่งนี้ 18

          ปราสาทบากอง

          ปราสาทบากอง สร้างขึ้นภายหลังปราสาทพระโค ถือเป็นปราสาทต้นแบบที่สร้างเป็นพีระมิด 5 ชั้น แต่ละชั้นสร้างขึ้นจากหินทราย ยกเว้นปรางค์ประธานชั้นบนสุดที่ยังสร้างด้วยอิฐซึ่งต่อมาได้รับการซ่อมแซมด้วยศิลปะแบบบาปวนจึงมีรูปแบบแตกต่างจากฐานล่าง
          ปราสาทแห่งนี้มีโคปุระทิศตะวันตกและตะวันออกใหญ่กว่าทิศเหนือและทิศใต้ ทางเข้าปราสาททั้งสองข้างมีประติมากรรมลอยตัวรูปนาคขนาดใหญ่ ด้านข้างบันไดสู่ปรางค์ประธานมีภาพจ้าหลักนางอัปสราและยักษ์ หน้าบันและทับหลังของปรางค์ประธานเป็นภาพสลักจากเรื่อง รามายณะ 19

           ปราสาทโลเลย

            ปราสาทโลเลย ประกอบด้วยปราสาท 4 หลัง เรียงซ้อนกันเป็น 2 แถว เหมือนปราสาทพระโคโดยปราสาทด้านทิศตะวันออกมีขนาดใหญ่ที่สุดสร้างขึ้นโดยใช้อิฐ ปัจจุบันทรุดโทรมเกือบทั้งหมด แต่ก็ยังมองเห็นร่องรอยของรูปสลักตามกรอบประตูและทับหลัง อาทิ รูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ฤๅษีบ้าเพ็ญตบะ สิงห์คาบพวงอุบะ ภาพลายก้านต่อดอกและพรรณพฤกษา 

ทำไมชื่อปราสาทหรือชื่อศิลปะของขอมโบราณมักมีคาว่าบานาหน้า

         ชื่อปราสาทในประเทศกัมพูชามักขึ้นต้นด้วยค้าว่าบาเช่น บากอง บายน บาปวน ฯลฯ ทั้งนี้ บา มีความหมายว่า ศักดิ์สิทธ์ ใช้กับคนก็ได้ อย่างค้าว่า ครูบาอาจารย์ หรือบาธรรมราช 20 


ที่มา
   -  อุดม เชยกีวงศ์. วัฒนธรรมขอม กับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา. กรุงเทพฯ :ภูมิปัญญา,2552.
   - ราชอาณาจักรกัมพูชา.กรุงเทพฯ: บริษัท สถาพรบุ๊คส์ จ้ากัด , 2555
   - มรดกโลกทางวัฒธรรมในอาเซียน. กรุงเทพฯ: บริษัท สถาพรบุ๊คส์ จ้ากัด , 2555
   - เอกรินทร์ พึ่งประชา. มรดกโลก มรดกแห่งมนุษย์ชาติ. กรุงเทพฯ: ปาเจรา, 2550
   - ตานานนครวัด. กรุงเทพมหานคร : ส้านักพิมพ์ไม้งาม , 2525
    - “มรดกโลก” [ออนไลน์] http://th.wikipedia.org/wiki/
   -  “มรดกโลกในอาเซี่ยน” [ออนไลน์] http://www.satapornbooks.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น